และแล้วฉันก็ได้ลงมือเขียน blog ของตัวสักที 

หลังจากพ้นพายุเบญจเพสมาสักพัก บวกกับเรี่ยวแรงที่พอมีเหลืออยู่บ้าง ฉันไม่คิดจะประวิงเวลาออกไปให้นานกว่านี้แล้ว

ว่ากันว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการทำอะไรสักอย่าง คือการเริ่มลงมือทำ ฉันเองก็เอาแต่พูดว่า “ไว้ค่อยเขียนแบบเรียบเรียงดี ๆ ลง blog อีกที” โดยมีจุดประสงค์หลักคือ ฉันอยากรวบรวมข้อถกเถียง ความคิดเห็น และสิ่งที่ตัวเองตกตะกอนได้ ซึ่งกระจายไปตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ มาไว้ในที่เดียวกันอย่างเป็นระบบ เพื่อจะได้ย้อนกลับไปดูง่ายขึ้น และไม่ต้องคอยพูดหรืออธิบายซ้ำในเรื่องเดิม ๆ บ่อยนัก (อาจใช้เวลาสักพักเพราะฉันยังไม่คุ้นกับระบบนี้เท่าไร)

ส่วนจุดประสงค์รองคือ ฉันคิดว่าตัวเองควรถอยออกมาเป็นผู้สังเกตการณ์และออกไปหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อขยับขยายเส้นขอบฟ้าทางความคิดของตัวเองบ้างได้แล้ว หลังจากผ่านการโดนทัวร์ลงมานับไม่ถ้วนตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนรัฐประหารปี 57 จนถึงเร็ว ๆ นี้ (และเรื่องแรกที่ฉันโดนด่าจากการแสดงความเห็นบนพื้นที่ออนไลน์ เพราะฉันดันไปโพสต์ตั้งคำถามว่า “ทำไมพอถึงวันพ่อ เราต้องไปร่วมงานวันพ่อ แทนที่จะได้กลับไปหาพ่อตัวเอง” ซึ่งตอนนั้นฉันอยู่ชั้นม.1 และถามเพราะสงสัยจริง ๆ ในฐานะเด็กต่างจังหวัดที่อยากกลับบ้านไปหาพ่อ ฉันยังเก็บโพสต์นั้นไว้อยู่ ไว้จะค่อยมาเล่าสู่กันฟังในบทความต่อ ๆ ไป)

แต่จนแล้วจนรอดฉันก็มักแพ้แรงกระตุ้นแบบฉาบฉวยที่ทำให้ฉันไปร่วม (หรือบางทีก็เป็นคนสร้าง) บทสนทนาแบบ interactive ในประเด็นใหม่ ๆ ทั้งในโลกออนไลน์และโลก on site ที่ฉันรู้สึกว่ามันท้าทายและทำงานกับความคิดฉันได้ทันทีจากข้อถกเถียงแบบเรียลไทม์

ยังดีที่แรงกระตุ้นพวกนี้ของฉันเป็นประตูสู่บทสนทนามากมายในพื้นที่สาธารณะ มีทั้งคนเห็นด้วย เห็นต่าง ชื่นชม หมั่นไส้ รังเกียจ และอีกหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกที่มนุษย์จะมีได้

ฉันมองว่าอารมณ์และความรู้สึกร่วมอันหลากหลายเหล่านี้เป็นหนึ่งในแรงกระตุ้นที่ทำให้เกิดการปะทะสังสรรค์กันระหว่างบุคคลที่เราอาจไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน (ฉันอาจเขียนเพิ่มเติมประเด็นเรื่อง “ระยะห่างทางสังคม” ในหัวข้อต่อ ๆ ไป) และเป็นที่มาของความสร้างสรรค์ของการคิดข้อถกเถียงมาโต้ตอบกันในแบบที่ไม่ทางการจ๋า หรือต้องมัวคอยรักษาหน้ากันจนอ้อมไปอ้อมมาไม่รู้จบ

แม้ว่าจะมีที่หมั่นไส้ทัวร์ลงกันบ้าง แต่การสะท้อนตัวตนและความรู้สึก (projecting) ของพวกเขาก็น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว ฉันเองก็พลอยได้เรียนรู้วิธีการแสดงออกผ่านการเสียดสีทั้งในแบบเมนสตรีม และซับคัลเจอร์หลายกลุ่ม ซึ่งก็ถือเป็นสีสัน และศิลปะแบบแสบ ๆ คัน ๆ แบบหนึ่ง

เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากเราจะโดนหมั่นไส้เกลียดชังบ้างจากการแสดงความเห็นที่บางครั้งอาจจะ controversial หรือในหลายครั้งก็เป็นเรื่องของจริตที่ไม่ตรงใจคน แต่ฉันยังพอเชื่อว่าบ้านเมืองเรามีขื่อมีแปอยู่บ้าง และในสังคมอำนาจนิยมที่ไม่ค่อยมีวัฒนธรรมการถกเถียงเท่าไรแบบสังคมไทย จะค่อย ๆ เรียนรู้การมีความอดกลั้น (toleration) ต่อกัน พอจะให้เราสามารถอยู่ร่วมกับคนเห็นต่างและความหลากหลาย ในแบบที่ไม่ทำร้ายกันจนเกินไป ไม่ไป sanction กันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนคนสมัครใจจะเลือกปิดปากเงียบ(self-censor) หรือเลือกพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเมนสตรีมในตอนนั้น

ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันยืนยันจะบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ และการตัดสินใจในแบบของฉันผ่าน freedom of speech/expression ต่อไป แม้เรื่องราวของฉันจะขัดแย้งกับเส้นเรื่องกระแสหลักตอนนั้น ๆ ไปบ้าง หรือไม่ว่าคนจะให้ค่ากับมันหรือไม่ก็ตาม

และหากคนมาถามฉันว่า “Who asked?” ในพื้นที่ที่มีชื่อและหน้าของฉันโชว์หราอยู่บนแอคเคาท์ นั่นก็แปลว่า “คำถามแรกสุดได้เกิดขึ้นแล้วในวินาทีนั้น”

ใช่แล้ว “ใครถาม?” เป็นคำถามที่อาจมองได้ว่าจงใจทำให้คนโดนถามดูเป็นที่น่าอับอายหรือสะเหล่อในสายตาคนอื่น ๆ จากการบอกเล่าเรื่องราวที่ไม่มีใครขอให้เล่า แต่ฉันมองว่ามันเป็นคำถามสำคัญที่ตัวคนถามควรตอบตัวเองให้ได้มากกว่า ว่า

ทำไมบุคคลหนึ่ง ๆ จึงเล่าเรื่องที่อาจไม่ได้รับความสนใจ และไม่เคยถูกมองว่าสลักสำคัญอะไรมาก่อน แถมยังเป็นจุดตั้งต้นให้เกิดการตั้งคำถามอย่าง “ใครถาม?” ขึ้นมา จนผู้คนมีแรงกระตุ้นมากพอให้เสียเวลามาพิมพ์คำถามนี้ถึงที่ (แม้จะไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบก็ตาม)

ฉันเดาว่าตัวเองคงได้รับคำถามประมาณนี้ในอีกหลายรอบต่อจากนี้ ไปจนถึงการโดนสังคมตั้งคำถามทางศีลธรรมและจริยธรรม หรือโดนเรียกร้องให้ฉันออกมาพูดในสิ่งที่พวกเขาอยากฟังและให้ความสำคัญบ้าง

น่าเสียดายที่ฉันคงทำอะไรให้ตรงใจพวกเขาไม่ได้ทั้งหมด และยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าเสียงเล็ก ๆ กับเวลาอันน้อยนิดของฉันจะตอบสนองความต้องการหรือบางสิ่งบางอย่างในตัวพวกเขาได้อย่างไร แต่ฉันก็หวังว่าเรื่องที่เขาให้ความสำคัญนั้นจะได้รับการมองเห็น และมีคนที่พร้อมเข้าใจมันเช่นกัน

ก่อนจะจบบทความแรกสุดนี้ ฉันอยากขอบคุณแฟนของฉัน(จุ้ย)

แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ฉันอยากมี blog เป็นของตัวเองบ้างจากการเห็นงานเขียนใน blog ของเขา (ที่ตอนนี้อยู่ในระหว่างการปรับปรุงเซิร์ฟเวอร์) แถมยังเป็นคนที่ช่วยฉันสร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมากับมือ ขอบคุณที่เป็นแรงสนับสนุนสำคัญของฉันมาเสมอ อีกทั้งยังร่วมแชร์บทสนทนามากมายจนบางทีถึงดึกดื่น ชวนฉันมองและคิดในมิติต่าง ๆ ที่ลึกซึ้งขึ้น ไปจนถึงแนะนำให้ฉันรู้จักนักคิดเจ้าของไอเดียสำคัญ ๆ ที่ทั้งคล้ายหรือต่างจากข้อถกเถียงของฉัน และอาจตอบบางส่วนของคำถามที่ฉันสงสัยได้ ซึ่งเขาคิดกันมาเป็นทษวรรษแล้ว

สิ่งที่จุ้ยพูดมาเสมอ คือ “เรายืนบนไหล่ของยักษ์” ดังนั้น ฉันจึงตื่นเต้นเสมอกับการได้ทำความเข้าใจยักษ์ตัวนั้น ไปพร้อมกับไอเดียและข้อถกเถียงใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ที่นำพาโลกและมนุษยชาติอย่างเรา ๆ มาถึงจุดนี้ 

ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย ฉันขอขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่มาร่วมเป็นประจักษ์พยานของการเดินทางและบันทึกทางความคิดของฉัน

ไม่ว่าคุณจะรัก เกลียด หรือรอสมน้ำหน้าฉันก็ตาม แต่ฉันยินดีเสมอที่พวกเราบังเอิญได้เกิดมาบนโลก หรือในสังคมเดียวกัน รวมถึงมีภาษาเป็นสื่อกลางให้เราพอจะเข้าใจและคิดเล่นเห็นต่างกันได้ไม่มากก็น้อย